กองทุน มะอาริฟ

“เป็นกองทุนอิสลามเพื่อการกุศล ที่มุ่งเน้นพัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิตพี่น้องมุสลิม”

วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

อัล-กอวาอิด อัล-ฟิกฮียะห์(กฎแห่งฟิกฮฺ) กฎข้อที่ 2

อัล-กอวาอิด อัล-ฟิกฮียะห์(กฎแห่งฟิกฮฺ) กฎข้อที่ 2

________________________________________
กฎข้อที่ 2

الأصل في الأبضاع ، التحريم

คำอ่าน

อัลอัซลุฟิลอับดออิ อัตตะรีมุ

ความหมาย

" อวัยวะเพศสตรีถือว่าหะรอมเป็นหลัก"

อธิบาย

ความสัมพันธ์ทางเพศกับสัตรีถือว่าเป็นสิ่งต้องห้ามและหะรอมเป็นหลักนอก จาก

1. ด้วยการนิกาห์ที่ถูกต้อง
2. เป็นทาสหญิงใต้ปกครอง

ด้วยเหตุนี้เมื่อมีความสงสัยในตัวผู้หญิงคนหนึ่งว่าอนุญาตให้แต่งงานกับเธอ หรือต้องห้ามจะต้องถือว่าต้องห้ามเป็นหลักทั้งนี้เพราะเมื่อสิ่งหะล้าลมาปนกับส ิ่งหะรอมให้ถือว่าหะรอมเป็นหลักโดยเฉพาะเกี่ยวกับอวัยวะเพศสตรีซึ่งต้องระมัดระ วังเป็นพิเศษโดยยึดถือตามกฎข้อนี้ "อวัยวะเพศสตรีถือว่าหะรอมเป็นหลัก"

นอกจากมีความมั่นใจว่าการแต่งงานกับเธอนั้นเป็นสิ่งหะล้าลจึงจะสามารถแ ต่งงานกับเธอได้ แต่ตราบใดที่ยังสับสนระหว่างหะล้าลหรือหะรอมให้ถือว่าหะรอมโดยยึดตามกฎข้อนี้



ตัวอย่างการนำกฎข้อนี้ไปใช้

- เมื่อญาติหญิงที่หะรอมนิกาห์(เช่นญาติร่วมสายเลือดหรือร่วมแม่นม)ปะปนกับหญิงอื ่นที่หะล้าลนิกาห์ หะรอมบนชายผู้นั้นที่จะแต่งงานกับคนหนึ่งคนใดจากผู้หญิงเหล่านั้นตราบใดที่ไม่ส ามารถแยกแยะอย่างมั่นใจว่าใครคือญาติที่หะรอมนิกาห์ เพราะเมื่อสิ่ง
หะล้าลมาปนกับสิ่งหะรอมให้ยึดเอาหะรอมเป็นหลักโดยเฉพาะเรื่อ งเกี่ยวกับอวัยวะเพศสัตรีซึ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษโดยยึดถือตามกฎข้อนี้ " อวัยวะเพศสตรีถือว่าหะรอมเป็นหลัก"

- ผู้หญิงที่พ่อหรือแม่เป็นชาวคัมภีร์และอีกคนเป็นผู้ไหว้ไฟหรือไหว้รูปปั้นไม่หะ ล้าลให้แต่งงานกับเธอถึงแม้ว่าพ่อเป็นชาวคัมภีร์ก็ตามตามทรรศนะที่ชัดเจนที่สุด ของมัซฮับชาฟีอีย์ทั้งนี้เพราะเมื่อสิ่งหะล้าลมารวมกับสิ่งหะรอมให้ยึดหะรอมเป็ นหลักโดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับอวัยเพศสตรีโดยยึดตามกฎข้อนี้ "อวัยวะเพศสตรีถือว่าหะรอมเป็นหลัก"

เกี่ยวกับเรื่องนี้อิสลามอนุญาตให้แต่งงานกับหญิงที่เป็นลูกชาวคัมภีร์ แต่เมื่อคนหนึ่งจากพ่อหรือแม่เท่านั้นเป็นชาวคัมภีร์แต่อีกคนหนึ่งเป็นผู้ไหว้ไ ฟหรือไหว้รูปปั้นซึ่งไม่อนุญาตให้แต่งงานกับสตรีที่เป็นลูกของผู้ไหว้ไฟหรือไหว ้รูปปั้น กรณีนี้จึงมีการปะปนกันระหว่างหะล้าล(คือเป็นลูกของชาวคัมภีร์)และหะรอม(คือเป็ นลูกของผู้ไหว้ไฟหรือไหว้รูปปั้น)ให้ยึดหะรอมเป็นหลัก

- ชายคนหนึ่งหย่าภรรยาคนหนึ่งสามเตาะเลาะโดยเจาะจงตัวตนอย่างแน่นอนหลังจากนั้นเข าลืมว่าภรรยาคนไหนที่ได้อย่าไปไม่อนุญาตให้เขาหลับนอนร่วมกับคนหนึ่งคนใดจากภรร ยากระทั่งรู้อย่างมั่นใจว่าภรรยาคนที่จะหลับนอนด้วยไม่ใช่ภรรยาคนที่เขาทำการหย ่าแล้วทั้งนี้เพราะเมื่อสิ่งหะล้าลมาปนกับสิ่งหะรอมให้ยึดหะรอมเป็นหลักโดยเฉพา ะเรื่องเกี่ยวกับอวัยวะเพศสตรี โดยยึดกฎข้อนี้ "อวัยวะเพศสตรีถือว่าหะรอมเป็นหลัก"

แปลและเรียบเรียงโดย อาจารย์อับดุลฮากีม พิศสุวรรณ

อัล-กอวาอิด อัล-ฟิกฮียะห์ (กฎแห่งฟิกฮฺ) กฎข้อที่ 1

อัล-กอวาอิด อัล-ฟิกฮียะห์ (กฎแห่งฟิกฮฺ) กฎข้อที่ 1


--------------------------------------------------------------------------------
กฎข้อที่ 1

" الأصل في الأشياء الاباحة "

คำอ่าน

อัลอัซลุ ฟิ้ลอัชยาอฺ อัลอิบาหะฮฺ

ความหมายของกฎข้อนี้

“ พื้นฐานของทุกสิ่งคืออนุญาติให้ใช้ประโยชน์จากมันได้ ” กฎข้อนี้ครอบคลุมถึงทุกสิ่งที่ไม่ปรากฏหลักฐานเป็นการเฉพาะเกี่ยวกับมัน

อธิบาย

ฮุกุ่มเดิมของสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ พืช อาหาร เครื่องดื่ม เครื่องนุ่งห่ม การประกอบอาชีพ ฯลฯ คืออนุญาติ(ฮาล้าล-ฮารุส)ให้ใช้ประโยชน์หรือกระทำได้ ในเมื่อไม่มีหลักฐานมาระบุเกี่ยวกับสิ่งนั้นหรือการกระทำนั้น ๆ เป็นการเฉพาะ

ดังนั้นเมื่อพบเห็นสิ่งใดหรือการกระทำใดให้ถือว่า “ได้รับการอนุญาติเป็นหลัก” หลังจากนั้นให้ค้นหาหลักฐานเกี่ยวกับสิ่งนั้นหรือการกระทำนั้น ๆ ว่ามีระบุอยู่หรือไม่ หากไม่พบหลักฐานใด ๆ ก็ให้ยึดหลักการเดิมของสิ่งต่าง ๆ เอาไว้ คือ “ พื้นฐานของทุกสิ่งคืออนุญาติให้ใช้ประโยชน์จากมันได้ ”

หลักฐานของกฎข้อนี้

1.อัลลอฮฺ(ซ.บ.)กล่าวว่า

"هو الذي خلق لكم ما في الأرض جميعا" البقرة : 29

"พระองค์คือผู้ได้ทรงสร้างสิ่งทั้งมวลในโลกไว้สำหรับพวกเจ้า"

ปรากฏในคำอธิบายอายะห์นี้ว่า : ความหมายของคำว่า((لكم)) คือทุกสิ่งที่อยู่บนหน้าแผ่นดินไม่ว่าจะเป็นหินแร่ พืชพันธ์ สัตว์ชนิดต่าง ๆ และสิ่งอื่น ๆ ทั้งหมด ต่างถูกสร้างมาเพื่อท่านจะได้ใช้ประโยชน์จากมัน

อายะห์นี้เป็นหลักฐานว่าพื้นฐานของสิ่งต่าง ๆ ที่ถูกสร้างมานั้นเป็นที่อนุญาติทั้งสิ้นนอกจากมีหลักฐานเป็นการเฉพาะมายกเลิกพ ื้นฐานเดิมข้อนี้ โดยไม่มีข้อแตกต่างระหว่างสัตว์หรือสิ่งอื่น ๆ จากสิ่งที่สามารถนำมาเป็นประโยชน์ได้โดยไม่เกิดโทษ

การกล่าวย้ำของอัลลออฺว่า(( جميعا)) หมายถึง”ทั้งหมด” เป็นหลักฐานที่หนักแน่นเกี่ยวกับเรื่องนี้

เช่นเดียวกัน อายะห์นี้ถูกกล่าวเพื่อยืนยันถึงบุญคุณของอัลลอฮฺที่มีต่อบ่าว ดังนั้นการอ้างบุญคุณย่อมจะต้องเกิดกับสิ่งที่อณุญาติและเป็นประโยชน์แก่บ่าว การอ้างบุญคุณย่อมไม่เกิดกับสิ่งที่พระองค์ห้ามหรือฮารอมและไม่ได้รับประโยชน์อ ย่างแน่นอน

2.อัลลอฮฺ(ซ.บ.)กล่าวว่า

" قل من حرّم زينة الله التي أخرج لعباده والطيبات من الرزق قل هي للذين أمنوا في الحياة الدنيا خالصة يوم القيامة كذلك نفصل الأيات لقوم يعلمون " الأعراف :

32

จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่าผู้ใดเล่าที่ให้เป็นที่ต้องห้าม ซึ่งเครื่องประดับร่างกาย จากอัลลอฮ์ ที่พระองค์ได้ทรงให้ออกมาสำหรับปวงบ่าวของพระองค์ และบรรดาสิ่งดี ๆ จากปัจจัยยังชีพ จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่าสิ่งเหล่านั้นสำหรับบรรดาผู้ที่ศรัทธา ในชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้ (และสำหรับพวกเขา) โดยเฉพาะ ในวันกิยามะฮ์ ในทำนองนั้นแหละเราจะแจกแจงโองการทั้งหลายแก่ผู้ที่รู้

ปรากฏในคำอธิบายอายะห์นี้ว่า จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดแก่ผู้ตั้งภาคีทั้งหลายว่า “ผู้ใดเล่าที่ให้เป็นที่ต้องห้ามซึ่งเครื่องประดับร่างกาย จากอัลลอฮ์ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มและสิ่งประดับประดาทั้งหลายที่พร ะองค์ได้ทรงให้ออกมาสำหรับปวงบ่าวของพระองค์ซึ่งนำมาจากพืชเช่นผ้าฝ้ายและจากสั ตว์เช่นผ้าไหมและผ้าขนสัตว์และจากแร่เช่นเสื้อเกราะและบรรดาสิ่งดี ๆ จากปัจจัยยังชีพหมายถึงรสชาติอันเอร็ดอร่อยของอาหารและเครื่องดื่ม

อายะห์ดี้บ่งชี้ว่า ฮุกุ่มเดิมของอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับประดาทุกชนิด นั้นฮารุสอนุญาติให้ใช้ได้ เพราะการตั้งคำถามในลักษณะนี้ให้ความหมายอย่างลึกซึ้งว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ฮารอม

3. มีฮาดีษของท่านร่อซู้ล (ซ.ล.) ที่รายงานโดยติรมีซีย์และฮากิม กล่าวว่า

(( الحلال ما أحلّ الله في كتابه، والحرام ما حرّم الله في كتابه، وما سكت عنه، فهو مما عفا عنكم ))

“ สิ่งที่อนุญาติคือสิ่งที่ระบุว่าอนุญาติในอัลกุรอาน และสิ่งที่ฮารอมคือสิ่งที่ระบุว่าฮารอมในอัลกุรอานและสิ่งใดที่ไม่ถูกระบุถือว่ าสิ่งนั้นอนุโลมให้แก่ท่าน”

ฮาดีษบทนี้กล่าวอย่างชัดเจนว่าสิ่งที่ไม่ถูกกล่าวถึงนั้นถือเป็นสิ่งที ่อนุโลม สิ่งที่ถูกอนุโลมคือสิ่งที่ไม่มีความผิดในการกระทำมัน ซึ่งความหมายก็คือการอนุญาตินั่นเอง ฮาดีษนี้ครอบคลุมถึงสิ่งที่มีประโยชน์และไม่เกิดโทษ เพราะสิ่งที่เกิดโทษจะมีตัวบทระบุเอาไว้เกี่ยวกับมันเป็นการเฉพาะ

ตัวอย่างและข้อปลีกย่อยที่เข้าอยู่ภายใต้กฎข้อนี้

- สัตว์ที่สับสนในฮุกุ่มของมันว่าอนุญาติหรือต้องห้ามให้ถือว่า ฮาล้าลอนุญาติในการทานเนื้อมัน เช่น ยีราฟ เป็นต้น โดยนำกฎข้อนี้มาใช้

- พืชที่ไม่รู้จักและไม่เกิดโทษในการนำมาใช้ ให้ถือว่าอนุญาติและฮารุสในการนำมาใช้

- หากนกพิราบตัวหนึ่งบินเข้ามายังบ้านของบุคคลหนึ่งและเขาสงสัยว่านกตัวนั้นเป็นท ี่อนุญาติสำหรับเขาหรือเป็นนกที่มีเจ้าของ ให้ถือว่า นกตัวนั้นอนุญาติสำหรับเขา

ข้อปลีกย่อยอื่น ๆ ที่เข้าอยู่ภายใต้กฎข้อนี้

- อาหารและเครื่องดื่มที่สกัดจากพืชและผลไม้ที่นำเข้าจากต่างประเทศโดยที่เราไม่ร ู้จักมันมาก่อนและเป็นสิ่งที่มีประโยชน์และไม่เกิดโทษในการทานหรือดื่มมัน ให้ถือว่าอาหารและเครื่องดื่มเหล่านั้นเป็นสิ่งอนุญาติ

- เครื่องใช้สมัยใหม่ในครัวเรือน เครื่องตกแต่งบ้าน ที่ไม่มีหลักฐานระบุว่าต้องห้าม ให้ถือว่า เป็นสิ่งที่อนุญาติ

- เช่นเดียวกัน สัญญาและการค้า-ขาย รูปแบบใหม่ ๆ ที่ไม่มีตัวบทชัดเจนว่าอนุญาติหรือต้องห้าม และไม่มีความสัมพันธ์กับดอกเบี้ยแต่อย่างใด ให้ถือว่าสัญญาและการค้าขายเหล่านั้นเป็นสิ่งที่อนุญาติให้กระทำได้ โดยถือตามกฎข้อนี้

แปลและเรียบเรียงโดย อาจารย์อับดุลฮากีม พิศสุวรรณ

วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ความมัศจรรย์ของกระดูกก้นกบ

มหัศจรรย์กระดูกก้นกบ(Coccyx)
ตั้งแต่มนุษย์คู่แรกได้ถูกสร้างขึ้นโดยการสืบเชื่อสายเผ่าพันธุ์จนมาถึงยุคสมัยของเรา และจะสืบเชื่อสายไปจนถึงวันสิ้นโลก ด้วยขบวนการการผสมพันธุ์อย่างเป็นขั้นเป็นตอน และขั้นตอนเหล่านี้จะถูกใช้กับลูกหลานอาดัมทั้งหมด เพราะพวกเขาอยู่ในกระดูกสันหลังของพ่อคนแรกของพวกเขาในขณะที่พ่อของพวกเขาได้ถูกสร้างขึ้น

พระมหาคัมภีร์อัลกรุอานได้สรุปขั้นตอนทั้งหมดนี้ไว้ในคำตรัสของพระองค์อัลลอฮฺ (ซุบฮาฯ ) ที่ว่า
﴿والله أنبتكم من الأرض نباتا * ثم يعيدكم فيها ويخرجكم إخراجا﴾
ความว่า: “และอัลลอฮฺทรงบังเกิดพวกเจ้าจากแผ่นดินเฉกเช่นพืชผัก, หลังจากนั้นพระองค์ทรงให้พวกเจ้ากลับคืนสู่ในแผ่นดินและจะทรงให้พวกเจ้าออกมาอีกเพื่อคืนชีพ”
(นูฮฺ: 17-18)
นี้คือความมหัศจรรย์ที่มนุษย์ไม่สามารถที่จะรู้ได้ในยุคที่พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานถูกประทานลงมาและในตลอดระยะเวลาที่ยาวนานหลังจากดังกล่าว

ในช่วงแรกจากคำตรัสของอัลลอฮฺ(ซุบฮาฯ)ที่ว่า
﴿والله أنبتكم من الأرض نباتا﴾

ความว่า: “และอัลเลาะฮฺทรงบังเกิดพวกเจ้าจากแผ่นดินเฉกเช่นพืชผัก”
ในอายะฮฺนี้พระองค์ได้โต้ตอบกับบรรดามนุษย์ ซึ่งร่างกายของพวกเขาจะเจริญเติบโตได้ด้วยกับแร่ธาตุในดินโดยทางอ้อมจากผลิตผลที่ได้จากพืชผักที่มาจากดิน ซึ่งพืชผักเหล่านี้ได้ดูดซับแร่ธาตุต่างๆ จากดิน และดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ และแปลสภาพองค์ประกอบเหล่านี้ให้เป็นอาหารแก่มนุษย์และสัตว์ นั้นก็คือพืชผักและก๊าซอ๊อกซิเจนซึ่งต้นไม้ได้ปล่อยสู่อากาศเพื่อให้มนุษย์และสัตว์ได้ใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ไปจนถึงเวลาที่ต้องจากโลกนี้ไป

ในช่วงสองจากคำตรัสของอัลลอฮฺ (ซุบฮาฯ) ที่ว่า
﴿ثم يعيدكم فيها ويخرجكم إخراجا﴾

ความว่า: “หลังจากนั้นพระองค์ทรงให้พวกเจ้ากลับคืนสู่ในแผ่นดินและจะทรงให้พวกเจ้าออกมาอีกเพื่อคืนชีพ”
เราท่านทั้งหลายจะต้องกับคืนสู่แผ่นดินอย่างแน่นอนหลังจากตายไปแล้ว ทุกๆ ชีวิตย่อมพบกับความตายและไม่มีผู้ใดที่จะหนีความตายพ้น ซึ่งตรงกับคำตรัสของอัลลอฮฺ (ซุบฮาฯ) ที่ว่า
﴿كل نفس ذائقة الموت ثم إلينا ترجعون﴾
ความว่า: “ทุกๆชีวิตล้วนต้องลิ่มรสความตาย แล้วพวกเจ้าจะถูกนำกลับยังเรา”
(อัลอังกาบูต: 57)

หลังจากตายไปแล้ว มนุษย์ทั้งหมดจะต้องฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งเพื่อคิดบันชีจากสิ่งที่พวกเขาได้กระทำในตอนที่อยู่ในโลกดุนยานี้

แน่นอนบรรดาผู้ปฏิเสธการฟื้นคืนชีพต่างสงสัยว่า จริงหรือที่เราจะฟื้นคืนชีพอีกครั้งหลังจากที่ตายไปแล้ว? แต่ถ้าเรามองจากจุดเล็กๆ ซึ่งคนส่วนใหญ่คาดไม่ถึงว่า ชีวิตหรือร่างกายคนเรามีการตายและการเกิดใหม่อยู่ทุกวินาที ในร่างกายคนเราประกอบด้วยเซลล์ต่างๆ ซึ่งเซลล์เหล่านี้จะมีการตายและเกิดใหม่อยู่ทุกวินาที สิ่งต่างๆ ที่เราไม่คาดคิดยังมีอยู่อีกมากมาย ไฉนเล่าการเกิดใหม่ในภพหน้าจะมีขึ้นไม่ได้ นี้คือหลักฐานทางด้านสติปัญญาที่ไม่สามารถจะปฏิเสธได้ ยังมีเรื่องราวที่น่าประหลาดใจและสับซ้อนที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานอันศักดิ์สิทธิ์และอัลฮาดีษได้บอกให้เราได้รู้ล่วงหน้าไว้แล้วว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น

เราขอโต้บรรดาผู้ปฏิเสธการฟื้นคืนชีพด้วยกับคำกล่าวของท่านร่อซู้ล(ศ็อลฯ)ซึ่งรายงานมาจากท่านอบีฮูรอยเราะฮฺที่ว่า
عن أبي هريرة (رضي الله تعالى عنه) أن رسول الله صلى الله عليه وسلم قال ((كل ابن آدم يأكله التراب إلا عجب الذنب منه خلق وفيه يركب))رواه مسلم في صحيحه
ความว่า:รายงานจากท่านอบีฮูรอยเราะฮฺ(รอฏิฯ)ว่าท่านร่อซุ้ลุล้ลลอฮฺ(ศ็อลฯ)กล่าวว่า “ดินจะกัดกินลูกหลานอาดัม (มนุษย์) ทุกคน เว้นไว้แต่เพียงกระดูกก้นกบ ซึ่งจากมันนี้เองลูกหลานอาดัม (มนุษย์) จะถูกสร้างมาอีกครั้ง และในมันนี้เองลูกหลานอาดัม (มนุษย์) จะถูกประกอบขึ้นมาอีกครั้ง”.
และได้มีคำรายงานจากท่านอบีซอีดอัลคุดรียฺ(รอฏิฯ)ว่า
عن أبى سعيد الخدرى (رضي الله عنه) أن رسول الله (صلى الله عليه وسلم) قال: ((يأكل التراب كل شيئ من الإنسان إلا عجب ذنبه)) قيل:وماهو؟ يا رسول الله قال:((مثل حبة خردل منه ينشأ))
ความว่า: รายงานจากท่านอบีซอีดอัลคุดรียฺ(รอฏิฯ)ว่า ท่านร่อซุ้ลุล้ลลอฮฺ(ศ็อลฯ)กล่าวว่า “ดินจะกัดกินทุกๆส่วนของมนุษย์นอกจากกระดูกก้นกบ”. มีผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมาว่า และมันคืออะไร?โอ้ท่านร่อซุ้ลุล้ลลอฮฺ ท่านร่อซุ้ลุล้ลลอฮฺจึงกล่าวว่า “มันเหมือนกับเมล็ดผักกาด ซึ่งจากมันนี้เองจะได้เกิดขึ้นมาอีก”.
และได้มีคำรายงานจากท่านอบีฮูรอยเราะฮฺอีกว่า
عن أبي هريرة أن رسول الله صلى الله عليه وسلم قال ((ما بين النفختين أربعون .. ثم ينزل الله من السماء ماء فينبتون كما ينبت البقل وليس من الإنسان شيء إلا يبلى إلا عظما واحدا وهو عجب الذنب ومنه يركب الخلق يوم القيامة))رواه المسلم.
ความว่า: รายงานจากท่านอบีฮูรอยเราะฮฺ(รอฏิฯ)ว่าท่านร่อซุ้ลุล้ลลอฮฺ(ศ็อลฯ)กล่าวว่า “สิ่งที่อยู่ระหว่างการเป่าสังข์ทั้งสองครั้งคือสี่สิบ .. หลังจากนั้นอัลเลาะฮฺ(ซ.บ.)ก็จะประทานน้ำมาจากฟากฟ้า แล้วพวกเขาก็จะงอกขึ้มาประดุจดั่งเมล็ดผักที่งอกเงย และทุกๆส่วนจาก(ร่างกาย)มนุษย์จะศูนย์สลายนอกจากกระดูกชิ้นหนึ่งชิ้นเดียวนั้นก็คือปลายกระดูกก้นกบ และจากมันนี้เองการสร้าง(มนุษย์)จะถูกประกอบขึ้นอีกครั้งในวันฟื้นคืนชีพ”.
ความหมายของสี่สิบยังไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า สี่สิบวัน สี่สิบเดือนหรือสี่สิบปี ซึ่งบรรดาอัครสาวกของท่านร่อซุ้ลุล้ลลอฮฺ (ศ็อลฯ)ได้กล่าวกับท่านอบีฮูรอยเราะฮฺว่า สี่สิบวัน สี่สิบเดือนหรือสี่สิบปี ท่านอบีฮูรอยเราะห์จึงกล่าวว่า ฉันปฏิเสธการที่ฉันจะถือว่ามันคือสี่สิบวันสี่สิบเดือนหรือสี่สิบปี แต่ฉันถือว่ามันคือสี่สิบ และท่านอีหม่ามนาวาวีได้ให้ความเห็นว่าสี่สิบนี้คือสี่สิบปี

จากพระมหาคัมภีร์อัลกรุอานและอัลฮาดีษที่กล่าวมาข้างต้นนี้ได้ชี้ชัดว่าเรือนร่างคนเราทุกๆ คนจะต้องสูญสลายโดยไม่มีการยกเว้นให้กับคนใดนอกจากทุกๆ บรรดานบี บรรดาผู้มรณะสักขีและบรรดาผู้เรียกร้องสู่การละหมาด

และมีคำพูดอีกมากมายซึ่งกล่าวถึงกระดูกก้นกบได้ประมวลข้อเท็จจริงทางด้านวิทยาศาสตร์ซึ่งไม่มีมนุษย์ผู้ใดล่วงรู้ถึงข้อแท้จริงนี้ จนมาถึงในต้นศตวรรษที่ 20 นักวิทยาศาสตร์ชาวเยรมันนามว่าHans Spemann และเหล่าเพื่อนร่วมงานของเขาได้ทำการวิจัยกันถึงเรื่องกระดูกก้นกบนี้ และมันเป็นสิ่งที่ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบิลสาขาวิทยาศาสตร์ในปีค.ศ.1935 จากการค้นพบThe primary Organizerและยืนยันการทำงานของมันในการสร้างทุกส่วนจากเซลล์ เนื้อเยื่อ อวัยวะและระบบของร่างกายทั้งหมดโดยเริ่มค้นคว้าจากกระดูกก้นกบของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ

ผลจากการวค้นคว้าวิจัยที่สำคัญดังกล่าวมีดังต่อไปนี้

1-ทุกๆ ส่วนจากThe Primitive Streak (การเริ่มต้นแบบเส้นด้าย) และThe Primitive Node (การเริ่มต้นแบบปม) ซึ่งThe Primitive StreakจะแบกรับThe Primitive Nodeเอาไว้ที่ท้ายของมัน และทั้งสองนี้จะถูกพบอยู่บนชั้นของไข่ที่ผสมแล้ว ซึ่งทั้งสองมีหน้าที่สร้างส่วนต่างๆ ของทารก เพราะเหตุนี้นายHans Spemannจึงเรียกทั้งสองว่าThe primary Organizer (ผู้มีหน้าที่จัดการเบื้องต้น)

2- The primary Organizer (ผู้มีหน้าที่จัดการเบื้องต้น) จะถูกถอดถอนไปยังปลายของกระดูกก้นกบหลังจากที่ส่วนต่างๆ ของร่างกายถูกสร้างอย่างครบถ้วนแล้ว (ซึ่งทารกจะถูกสร้างอย่างครบถ้วนในช่วงท้ายของสัปดาห์ที่ 4 จากอายุของมัน)

3-กระดูกข้อสุดท้ายของกระดูกสันหลังนั้นก็คือกระดูกก้นกบ(Coccyx) มันจะไม่มีวันสูญสลายอย่างแน่นอน ซึ่งนายHans Spemann และเพื่อนร่วมงานของเขาได้ทำการตัดเอาส่วนของ The Primitive StreakและThe Primitive Nodeจากสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำหลายชนิด แล้วนำไปฝังในตัวทารกที่อยู่ในท้องของพวกมัน แล้วส่วนที่นำไปฝังนี้ ก็มีการเจริญเติบโตในรูปของทารกอีกตัวหนึ่งซึ่งแตกต่างจากทารกตัวแรก

ต่อมานายHans Spemann และเพื่อนร่วมงานของเขาได้ทำการทำลายส่วนที่มีชื่อว่า The primary Organizer แล้วนำไปฝังไว้ในตัวทารก แล้วส่วนที่นำไปฝังก็มีการเจริญเติบโตในรูปของทารกอีกตัวหนึ่งเช่นเดียวกับการทดลองครั้งแรก การทดลองในครั้งนี้เป็นสิ่งยืนยันได้ว่าเซลล์ต่างๆ ของ The primary Organizer ไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อกระบวนการการทำลาย หลังจากนั้นพวกเขาก็ทำการทดลองโดยนำเอาส่วน The primary Organizer ที่ได้จากสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำมาทำการต้มอยู่หลายชั่วโมง ผลทดลองก็เป็นอย่างเคย หลังจากการทดลองของนายHans Spemann ผ่านไป 69 ปีในเดือนตุลาคม ค.ศ.2003 ดร.อุซมานญีลานชาวเยเมนได้ทำการทดลองโดยการนำเอากระดูกสันหลังที่มีกระดูกก้นกบ 5 ชิ้นของแกะมาทำการเผ่าด้วยปืนไฟถึง 10 นาทีจนกลายเป็นเถ้าถ่าน แล้วนำเอาขี้เถ้ามาให้ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อเยื่อวิจัยในมหาวิทยาลัยซอนอาอฺ จนเป็นที่ชัดเจนได้ว่าเซลล์ต่างๆ ของกระดูกก้นกบยังคงมีชีวิตและไม่มีร่องรอยการการเผ่าทั้งๆ ที่กล้ามเนื้อ เยื่อไขมัน เซลล์ของไขกระดูกที่มีอยู่ในกระดูกสันหลังและสิ่งที่อยู่รอบๆ ถูกเผ่าจนเกลี้ยง แต่เซลล์ของกระดูกก้นกบไม่มีร่องรอยของการเผ่าเลย.
กระดูกก้นกบของมนุษย์

การนำเอาผลทดลองของนายHans Spemann และสิ่งที่เขาได้ศึกษามาใช้กับมนุษย์ได้เผยชัดแก่วิชาว่าด้วยการกำเนิดดังต่อไปนี้

1-ตัวสเปิมร์ที่ปฏิสนธิแล้วจะประกอบขึ้นเพียงแค่ไข่ของผู้หญิงไปผสมกับตัวอสุจิของผู้ชาย

2-สเปิมร์ที่มีการปฏิสนธิแล้วนี้จะเริ่มแบ่งเป็นเซลล์เล็กๆและเล็กลงเรื่อยๆซึ่งจะเรียกการแบ่งนี้ว่าBlastomeres หลังจาก 4 วันผ่านไป ตัวสเปิมร์จะเปลี่ยนเป็นเซลล์ก้อนกลมๆ คล้ายผลหม่อนซึ่งจะถูกเรียกว่าMorula.

3-ในวันที่ 5Morulaจะแบ่งเป็นสองส่วนเท่าๆ กันซึ่งมีส่วนประกอบที่เรียกว่าBlastocystซึ่งมันจะเริ่มที่จะฝังเข้าไปในผนังมดลูกในวันที่ 6โดยผ่านเซลล์เชื่อมต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาจากมัน และเซลล์Morulaจะเกาะติดด้วยกับเซลล์เชื่อมเหล่านี้กับผนังมดลูก ซึ่งเซลล์Morulaจะเปลี่ยนเป็นก้อนเลือดและเซลล์เชื่อมจะเปลี่ยนเป็นรก

4-ประมาณวันที่ 15 จากอายุของสเปิมร์ที่ปฏิสนธิแล้ว กลุ่มของเซลล์ชั้นสูงของยีน(Gene) ที่เป็นกลุ่มก้อนจะเริ่มพัฒนาเป็นรูปของเส้นยาวซึ่งถูกเรียกว่า the primary or Primitive Streak

และด้วยความยาวของThe Primitive Streak ปลายสุดของมันที่อยู่ด้านหน้าจะมีขนาดใหญ่ ซึ่งมีลักษณะที่ถูกเรียกว่า The Primitive knot or Node และในเวลาเดียวกันมันจะประกอบไปด้วย A Narrow Primitive Groove ซึ่งมันจะผ่านไปยังหลุมที่ตื้นใน The Primitive Node หลุมนี้จะถูกเรียกว่า The Primitive Pit 5-ในวันที่ 16 จากอายุของสเปิมร์ที่ปฏิสนธิแล้ว เซลล์ชั้นกลางจะเริ่มปรากฏขึ้น(The Intraembryonic Mesoderm)ระหว่างเยื่อชั้นภายนอกของทารก(The Embryonic Ectoderm)และเยื่อชั้นภายในของทารก (The Embryonic Endoderm) และอัลลอฮฺได้ให้เซลล์ชั้นกลางนี้สามารถแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วและแบ่งไปเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ และให้มันแยกย้ายไปเพื่อทำการสร้างเนื้อเยื่อ อวัยวะและส่วนต่างๆ ของร่างกาย และส่วนหนึ่งจากการแบ่งเป็นชนิดต่างๆ ของเซลล์เหล่านี้ก็คือการที่มันเคลื่อนไหวจากThe Primitive Node เพื่อทำการสร้างจุดเริ่มของเส้นกระดูกสันหลัง(Notochordal Process)ซึ่งระบบประสาทจะเกิดขึ้นมาจากมันโดยการแตกแขนงของมัน หลังจากนั้นเซลล์เหล่านี้(เซลล์ที่มีการแบ่งไปเป็นเซลล์ชนิดอื่นๆ)จะเคลื่อนไหวเพื่อทำการสร้างอวัยวะที่เหลือ และ The Primitive Streakจะคงมีการกระตุ้นอยู่ตลอดเวลาในการสร้างเซลล์ชั้นกลาง(The Intraembryonic Mesodrmal Cells)จนกระทั่งสิ้นสุดสัปดาห์ที่ 4 จากอายุของทารกโดยประมาณ หลังจากนั้นเซลล์เหล่านี้เริ่มที่จะขับออกมาอย่างเรื่อยๆ และ The Primitive Streakลดขนาดลงอย่างรวดเร็วจนมีขนาดเล็กจนเกือบที่จะไม่เห็นและจะถูกถอนไปยังเขตของกระดูกก้นกบของทารก (The Sacrococcygeal Region of the Embryo)

และบรรดานักวิทยาศาสตร์ก็ได้รู้ว่า แท้จริงอัลลอฮฺ (ซุบฮาฯ) ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งมวลได้ประทานความสามารถให้แก่เซลล์The Primitive Streak เหนือชั้นต่อขบวนการสร้าง

ดังกล่าวนี้จะชี้ชัดให้เห็นข้อเท็จจริงว่า เซลล์ที่มีคุณลักษณะเฉพาะนี้เมื่อมันไปกระทบกับแสง มันจะเจริญเติบโตในรูปลักษณะของการบวมอย่างมาก และจะเรียกลักษณะการบวมนี้ว่า(Teratoma) ซึ่งมันประกอบไปด้วยเนื้อเยื่อต่างๆ และในบางทีก็ประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ
จากเรื่องดังกล่าวนี้ อัลลอฮฺ(ซุบฮาฯ)ทรงตรัสไว้ ว่า
﴿وأن عليه النشأة الأخرى﴾
ความว่า: “และแท้จริง เป็นหน้าที่ของพระองค์ที่จะให้เกิดอีกครั้งหนึ่ง”.
(อันนัจมฺ:47)
ความล้ำหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ในพระมหาคัมภีร์อัลกรุอานและอัลฮาดีษอันทรงเกียรติทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งที่ชี้ขาดว่าอัลกุรอานไม่สามารถที่จะสร้างมนุษย์ได้ แต่มันคือคำตรัสของอัลลอฮฺ (ซุบฮาฯ) ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งมวลผู้ทรงประทานมันมาด้วยกับความรู้ให้แก่ร่อซุ้ลุล้ลลอฮฺ(ศ็อลฯ) และพระองค์อัลลอฮฺ (ซุบฮาฯ) ยังเป็นผู้ทรงปกปักรักษามันไว้ทุกถ้อยคำทุกอักษรมาเป็นระยะเวลามากกว่า 14 ศตวรรษจวบจนกระทั่งถึงวันแห่งการฟื้นคืนชีพด้วยกับสัญญาของพระองค์เอง และความล้ำหน้าทางวิทยาศาสตร์นี้ยังชี้ให้เห็นว่านายของเรามูฮัมมัด(ศ็อลฯ)เป็นผู้บอกข่าวดีแก่ผู้ปฏิบัติตาม และเป็นผู้บอกข่าวร้ายแก่ผู้ปฏิเสธทั้งมวล และเป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺ (ซุบฮาฯ) อย่างแท้จริง.
ปัจจุบันวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้า เกิดวิวัฒนาการแต่ละสาขาและค้นพบทฤษฎีต่างๆมากมาย ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันความถูกต้องและความมหัศจรรย์ที่แสดงไว้ ของคัมภีร์อัลกุรอาน และมีศาสนทูต คือ นบีมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) เป็นผู้นำสาร การอรรถาธิบายอัลกุรอานและหะดีษของท่านนั้นเป็นความรู้ที่ได้มาจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮุวะตะอาลา
"และพระองค์นั้น คือ อัลลอฮฺ ทั้งในบรรดาชั้นฟ้าและในแผ่นดิน ทรงรู้สิ่งเร้นลับของพวกเจ้า และสิ่งเปิดเผยของพวกเจ้า และทรงรู้สิ่งที่พวกเจ้าขวนขวายกันอยู่” (6:3)

โดย ดร.ซักโลล อันนัจญ๊าร (หนังสือพิมพ์อัลฮะรอม)
แปลและเรียบเรียงโดย อะฮฺหมัด มุสตอฟา โต๊ะลง
คัดลอกจาก http://www.ridwanclub.com/subindex.php?page=content&id=104